KNOWLEDGE

รองเท้าเซฟตี้หัวเหล็ก คู่มือเลือกซื้อตามมาตรฐานสากล

ก.ย. 18, 2025

ประโยชน์ของรองเท้านิรภัยคือการป้องกันอุบัติเหตุและการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นกับเท้าในสถานที่ทำงาน

เท้าเป็นอวัยวะที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงโดยตรงในงานอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจที่ต้องปฏิบัติงานในไซต์งานต่าง ๆ เช่น วัตถุตกหล่น สารเคมีรั่วไหล หรือชิ้นส่วนมีคม ที่อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงและส่งผลต่อความต่อเนื่องของงาน การสวมใส่รองเท้าเซฟตี้หรือรองเท้านิรภัยที่ได้มาตรฐานจึงเป็นหนึ่งในแนวทางหลักเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและลดโอกาสบาดเจ็บ

 

รองเท้าเซฟตี้และรองเท้านิรภัยคืออะไร ?

 

รองเท้าเซฟตี้หรือรองเท้านิรภัย คือ รองเท้าที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นกับเท้าในสถานที่ทำงาน ซึ่งจะใช้วัสดุที่มีความแข็งแรงในการผลิต โดยเฉพาะบริเวณหัวเท้าที่สามารถช่วยป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นขณะปฏิบัติงาน
คุณสมบัติพื้นฐานตามมาตรฐานรองเท้าเซฟตี้ ประกอบด้วย

 

  • หัวรองเท้าที่แข็งแรงป้องกันการกระแทก – ทำจากเหล็กกล้า คอมโพสิต หรือพลาสติกเสริมแรง เพื่อป้องกันนิ้วเท้าจากวัตถุหนักที่ตกหล่นหรือการกดทับ
  • พื้นรองเท้าที่ต้านทานการเจาะทะลุ – มีแผ่นเหล็กหรือวัสดุพิเศษฝังอยู่ในพื้นรองเท้า เพื่อป้องกันตะปู เศษแก้ว หรือวัตถุมีคมที่อาจเจาะทะลุขึ้นมา
  • เป็นวัสดุกันน้ำและสารเคมี – ใช้หนังแท้หรือวัสดุสังเคราะห์ที่ผ่านการเคลือบพิเศษ เพื่อป้องกันการซึมผ่านของน้ำ น้ำมัน และสารเคมีต่าง ๆ
  • การออกแบบที่เหมาะสมต่อการทำงานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย – รวมถึงการระบายอากาศที่ดี น้ำหนักที่เหมาะสม และรูปทรงที่สนับสนุนการเคลื่อนไหว

 

รองเท้าเซฟตี้หัวเหล็ก

 

รองเท้าเซฟตี้หัวเหล็กมีลักษณะเด่นคือ มีส่วนหัวรองเท้าทำจากเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูง สามารถทนต่อแรงกระแทกและแรงอัดได้เป็นอย่างดี ซึ่งช่วยป้องกันเท้าจากการบาดเจ็บเมื่อมีวัตถุหนักตกใส่หรือถูกกดทับ

 

ความโดดเด่นของรองเท้าหัวเหล็กคือ ความสามารถในการรับแรงกระแทกได้สูง ป้องกันของมีคมที่อาจเจาะทะลุ และให้การคุ้มครองที่ดีกว่ารองเท้าแบบหัวพลาสติกหรือคอมโพสิต แม้ว่าจะมีน้ำหนักมากกว่าแต่ก็ให้ความปลอดภัยที่เหนือกว่า

 

มาตรฐานรองเท้าเซฟตี้หัวเหล็ก ต้องทนแรงกระแทก 200 จูล และแรงอัด 15,000 นิวตัน

 

มาตรฐานรองเท้าเซฟตี้หัวเหล็ก

 

มาตรฐาน มอก. 523-2564 (มาตรฐานไทย)

มาตรฐาน มอก. 523-2564 เป็นมาตรฐานไทยสำหรับรองเท้าเซฟตี้ที่กำหนดคุณสมบัติและวิธีการทดสอบ โดยกำหนดให้หัวเหล็กต้องทนแรงกระแทก 200 จูล และแรงอัด 15,000 นิวตัน

 

การทดสอบและการรับรองจะดำเนินการโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) โดยรองเท้าที่ผ่านการทดสอบจะได้รับเครื่องหมายและฉลากมาตรฐาน มอก. เพื่อแสดงว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพตามที่กำหนด

มาตรฐาน ISO 20345:2022 (มาตรฐานสากล)

 

มาตรฐาน ISO 20345:2022 เป็นมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก มีการจำแนกประเภทเป็น Class I สำหรับรองเท้าหนังและวัสดุอื่น และ Class II สำหรับรองเท้ายางและพอลิเมอร์

 

ระดับการป้องกันแบ่งเป็น SB (พื้นฐาน), S1 (กันไฟฟ้าสถิต), S1P (เพิ่มป้องกันเจาะทะลุ), S2 (กันน้ำ), และ S3 (ครบทุกคุณสมบัติ) การทดสอบครอบคลุมแรงกระแทก แรงอัด ความต้านทานการเจาะทะลุ และการกันลื่น

 

คุณสมบัติเสริมและสัญลักษณ์มาตรฐาน

 

คุณสมบัติเสริมที่สำคัญและมีประโยชน์ในการทำงาน ประกอบด้วย

 

  • กันไฟฟ้าสถิต (A) – ป้องกันการสะสมไฟฟ้าสถิต
  • กันลื่น (SRA/SRB/SRC) – ทดสอบบนพื้นผิวต่าง ๆ
  • ทนความร้อน (HRO) – ทนความร้อนสัมผัส 300°C
  • กันน้ำมัน (FO) – ป้องกันการซึมผ่านของน้ำมันปิโตรเลียม

 

การเปรียบเทียบมาตรฐานรองเท้าเซฟตี้และแนวทางเลือกใช้

 

การเลือกใช้มาตรฐานรองเท้าเซฟตี้ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรในการตัดสินใจจัดซื้อ เนื่องจากแต่ละมาตรฐานมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ดังนั้นการทำความเข้าใจความแตกต่างจะช่วยให้เลือกได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการ

 

ความแตกต่างหลักระหว่างมาตรฐาน

 

มาตรฐาน มอก. 523-2564 (มาตรฐานไทย)

 

  • เฉพาะเจาะจงสำหรับประเทศไทย
  • กำหนดค่าพื้นฐานชัดเจน เช่น หัวเหล็กทนแรงกระแทก 200 จูล และแรงอัด 15,000 นิวตัน
  • เน้นความเรียบง่ายและใช้งานง่าย
  • ราคาประหยัดกว่า เหมาะสำหรับธุรกิจ SME และงานทั่วไป

 

มาตรฐาน ISO 20345:2022 (มาตรฐานสากล)

 

  • เป็นที่ยอมรับและใช้งานได้ทั่วโลก
  • จำแนกประเภทละเอียด: Class I (หนังและวัสดุอื่น) และ Class II (ยางและพอลิเมอร์)
  • ระดับการป้องกันหลากหลาย: SB, S1, S1P, S2, S3
  • คุณสมบัติเสริมครบถ้วน เหมาะสำหรับงานที่มีความเสี่ยงสูง

 

แนวทางเลือกใช้มาตรฐานรองเท้าเซฟตี้

 

  • สำหรับธุรกิจท้องถิ่นและ SME ที่ต้องการความประหยัด มาตรฐาน มอก. เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ในขณะที่บริษัทข้ามชาติหรือธุรกิจที่ต้องการมาตรฐานสากล ควรเลือกรองเท้าเซฟตี้ที่ได้รับมาตรฐาน ISO 20345
  • ดูถึงสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงหรือไม่ เช่น งานเคมี ปิโตรเคมี หรืองานที่ต้องการคุณสมบัติเสริมพิเศษ ควรใช้ ISO 20345 เนื่องจากมีตัวเลือกที่หลากหลาย
  • ด้านงบประมาณ รองเท้ามาตรฐาน ISO มักมีราคาสูงกว่า แต่ให้การป้องกันที่ครบถ้วนและยืดหยุ่นในการใช้งานมากกว่า

 

อุตสาหกรรม/ธุรกิจที่ควรใช้รองเท้าเซฟตี้หัวเหล็กและรองเท้านิรภัย

 

ธุรกิจและอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นต้องใช้รองเท้าเซฟตี้ เพื่อความปลอดภัยของพนักงาน ได้แก่

 

  • งานก่อสร้าง
  • โรงงานผลิตและอุตสาหกรรมการผลิต
  • งานเหมืองแร่
  • โรงงานอุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเคมี
  • งานซ่อมบำรุงและโลจิสติกส์
  • การขนส่งและคลังสินค้า
  • ธุรกิจอาหารและบริการที่มีความเสี่ยงจากอุปกรณ์หนัก

 

คุณประโยชน์ของรองเท้านิรภัย

 

รองเท้าเซฟตี้ให้คุณประโยชน์หลากหลายในการปกป้องความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ดังนี้

 

  • ลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ เช่น การโดนวัตถุตกใส่หรือเจอของมีคม
  • ลดการเจาะทะลุจากตะปูและเศษเหล็ก
  • ปกป้องจากสารเคมีและไฟฟ้า
  • เสริมสร้างความมั่นใจในการทำงาน ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น

 

วิธีเลือกใช้รองเท้าเซฟตี้ให้เหมาะกับแต่ละธุรกิจ

 

การเลือกรองเท้าเซฟตี้ที่เหมาะสมต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยสำคัญ ดังนี้

 

  • วิเคราะห์งานและความเสี่ยงที่เผชิญ
  • เลือกประเภทและวัสดุของรองเท้าให้เหมาะสม
  • ตรวจสอบมาตรฐานและการรับรอง
  • พิจารณาความสะดวกสบายในการใช้งานและการดูแลรักษา

 

รองเท้าเซฟตี้หัวเหล็ก เลือกซื้อที่ Esco Premium

 

รองเท้าสำหรับงานเซฟตี้ โดยเฉพาะรองเท้าเซฟตี้หัวเหล็กและรองเท้านิรภัยที่ผ่านมาตรฐานระดับสากล จะช่วยปกป้องแรงกระแทก การเจาะทะลุ รวมถึงความเสี่ยงต่ออันตรายจากไฟฟ้าและสารเคมี Esco Premium มีรองเท้าเซฟตี้และรองเท้าเซฟตี้หัวเหล็กคุณภาพสูง เหมาะกับงานอุตสาหกรรมทุกประเภท สอบถามเพิ่มเติมหรือติดต่อขอใบเสนอราคาได้ที่ Esco Premium เพื่อให้พนักงานของคุณปลอดภัยในทุกสถานการณ์

 

สอบถามเพิ่มเติมหรือติดต่อขอใบเสนอราคาได้ที่

 

Line : @escopremium

Tel : 02-509-0099

E-mail : escopremium@escopremium.com

 

แหล่งอ้างอิง

 

Share this article

  • Line
  • Facebook
  • Email
  • Copy Link