KNOWLEDGE

มาตรฐานหมวกนิรภัยที่ควรรู้ ก่อนเลือกใช้งานในพื้นที่เสี่ยง

มิ.ย. 24, 2025

หมวกนิรภัยมาตรฐาน ANSI/ISEA Z89.1-2014 จาก Esco Premium

หมวกนิรภัย ถือเป็นหนึ่งในอุปกรณ์เซฟตี้ที่สำคัญที่สุดในการปกป้องศีรษะจากอุบัติเหตุในสถานที่ทำงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมก่อสร้าง โรงงาน หรือไซต์งานที่มีความเสี่ยงสูง การเลือกหมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐานจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถรับแรงกระแทก ป้องกันวัตถุแหลมคม หรือแม้แต่ทนต่อกระแสไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

การเข้าใจถึงมาตรฐานหมวกนิรภัยที่ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศ เช่น มอก. และระดับสากลอย่าง ISO, ANSI และ EN จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกหมวกนิรภัยที่มีความเหมาะสมกับลักษณะงานได้อย่างดีที่สุด

 

มาตรฐานหมวกนิรภัยที่ควรรู้

การเลือกหมวกนิรภัยที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแต่ละมาตรฐานจะมีข้อกำหนดเฉพาะ รวมถึงวิธีการทดสอบที่แตกต่างกัน เพื่อรับรองคุณสมบัติด้านการป้องกันอันตรายอย่างครอบคลุม

 

หมวกนิรภัยที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน จะผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดเพื่อรับรองคุณสมบัติด้านความปลอดภัย โดยแต่ละมาตรฐานมีข้อกำหนดเฉพาะที่แตกต่างกัน ดังนี้

 

มาตรฐานหมวกนิรภัย มอก.

“มอก.” ย่อมาจาก “มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม” ของประเทศไทย โดยหมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐาน มอก. 368-2538 จะต้องผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัย เช่น การดูดซับแรงกระแทก การป้องกันวัตถุแหลมคม และการต้านทานไฟฟ้าแรงดันต่ำถึงปานกลาง เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในไซต์งานก่อสร้างหรือโรงงานอุตสาหกรรม

 

หมวกนิรภัยมาตรฐาน ISO

ISO (International Organization for Standardization) เป็นมาตรฐานในระดับสากล ซึ่งมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับหมวกนิรภัยคือ ISO 3873 โดยจะระบุถึงคุณสมบัติของหมวกสำหรับงานทั่วไป เช่น งานก่อสร้างหรืออุตสาหกรรม ที่สามารถช่วยป้องกันศีรษะจากแรงกระแทกหรือสิ่งของตกใส่

 

หมวกนิรภัยมาตรฐาน ANSI

ANSI (American National Standards Institute) เป็นมาตรฐานของสหรัฐอเมริกา โดยมาตรฐานล่าสุดคือ ANSI/ISEA Z89.1-2014 ซึ่งแบ่งหมวกนิรภัยออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  1. ประเภท 1 (Helmet Type I) ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันแรงกระแทกจากด้านบน เช่น งานก่อสร้าง
  2. ประเภท 2 (Helmet Type II) ออกแบบมาเพื่อป้องกันแรงกระแทกทั้งจากด้านบนและด้านข้าง เช่น ในสถานที่ก่อสร้างหรือพื้นที่ที่มีเครื่องจักรเคลื่อนที่ โดยมักจะมีแผ่นรองหรือเสริมด้านข้างเพิ่มเติมเพื่อให้รองรับแรงต่าง ๆ

 

นอกจากนี้ยังแบ่งตามความสามารถในการป้องกันไฟฟ้าเป็น 3 ระดับ ได้แก่

  1. Class E (Electrical) สามารถทนแรงดันไฟฟ้าได้ถึง 20,000 โวลต์
  2. Class G (General) สามารถทนต่อประจุไฟฟ้าได้สูงถึง 2,200 โวลต์
  3. Class C (Conductive) ไม่กันไฟฟ้า แต่เน้นการป้องกันแรงกระแทกและอันตรายจากการทะลุทะลวง

 

หมวกนิรภัยมาตรฐาน EN

มาตรฐาน EN หรือ European Norm เป็นมาตรฐานความปลอดภัยของยุโรป โดยหมวกนิรภัยมาตรฐาน EN 397:2012+A1:2012 จะต้องผ่านการทดสอบทั้งด้านแรงกระแทก แรงเจาะทะลุ การติดไฟ และแรงบีบด้านข้าง เพื่อป้องกันอันตรายจากสิ่งของตกใส่ในงานอุตสาหกรรม

 

การทดสอบและคุณสมบัติของหมวกนิรภัยตามมาตรฐาน

เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพของหมวกนิรภัย การทดสอบภายใต้มาตรฐานต่าง ๆ จึงถูกกำหนดไว้อย่างเข้มงวด ดังนี้

 

การกันไฟ (Flammability)

หมวกนิรภัยต้องไม่ลุกไหม้ง่ายเมื่อสัมผัสเปลวไฟ ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งในงานเชื่อม งานซ่อมบำรุง และงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อนสูง

 

การทดสอบการลุกไหม้

ใช้เปลวไฟอุณหภูมิ 800-900 องศาเซลเซียส จ่อที่เปลือกหมวก ผลทดสอบต้องไม่มีเปลวไฟลุกลามบนพื้นผิวหมวก

 

การกันกระแทก (Force Transmission / Impact Test)

หมวกนิรภัยควรกระจายแรงกระแทกจากวัตถุตกหรือแรงชน เพื่อลดแรงที่ส่งถึงศีรษะของผู้สวมใส่

 

การทดสอบแรงส่งผ่าน

จะทำการทดสอบหมวกนิรภัยในสภาพร้อนและเย็นอย่างละ 12 ใบ โดยจะปล่อยวัตถุน้ำหนัก 3.6 กิโลกรัมให้กระแทกศีรษะจำลองที่ความเร็ว 5.5 เมตร/วินาที ค่าเฉลี่ยแรงส่งผ่านต้องไม่เกิน 3,780 นิวตัน หรือ 850 แรงปอนด์ (lbf)

 

การเจาะทะลุ (Apex Penetration)

หมวกนิรภัยต้องสามารถต้านทานแรงจากวัตถุปลายแหลมตกกระทบบริเวณด้านบนโดยไม่ทะลุเข้าถึงศีรษะ

 

การทดสอบความต้านทานการเจาะทะลุจากด้านบน

ปล่อยวัตถุปลายแหลมหนัก 1 กิโลกรัม จากความสูงที่กำหนดลงบนหมวกที่ติดตั้งในลักษณะสวมใส่จริง หากหมวกสามารถป้องกันไม่ให้วัตถุเจาะทะลุเข้าถึงศีรษะจำลองได้ ถือว่าผ่านมาตรฐาน

 

การตรวจสอบมาตรฐานหมวกนิรภัยก่อนเลือกซื้อ

ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อหมวกนิรภัย ควรตรวจสอบรายละเอียดสำคัญให้รอบด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ป้องกันศีรษะชิ้นนี้สามารถปกป้องคุณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยมีข้อแนะนำดังนี้

  • ดูฉลากและเครื่องหมายรับรองมาตรฐาน : หมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐานจะมีเครื่องหมาย มอก., ISO, ANSI หรือ EN แสดงอยู่บนตัวหมวกหรือบรรจุภัณฑ์ เพื่อยืนยันว่าได้ผ่านการทดสอบตามข้อกำหนด
  • ตรวจสอบอายุการใช้งานและความสมบูรณ์ของหมวกนิรภัย : หมวกที่หมดอายุหรือมีรอยแตกร้าว ควรหลีกเลี่ยงการใช้งาน เพราะอาจลดประสิทธิภาพในการป้องกัน
  • เลือกหมวกนิรภัยให้เหมาะกับประเภทของงาน
    • งานก่อสร้างหรือโรงงานอุตสาหกรรม : ควรเลือกหมวกที่กันแรงกระแทกได้ดี เช่น ANSI Class G หรือ EN 397
    • งานไฟฟ้า : ควรเลือกหมวกนิรภัยมาตรฐาน ANSI Class E หรือที่ผ่านมาตรฐานการกันไฟฟ้า
    • งานเชื่อมหรืออุณหภูมิสูง : ควรใช้หมวกที่มีวัสดุทนไฟตามมาตรฐาน EN

 

เลือกหมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัยจริง อุ่นใจขณะปฏิบัติงาน

การเลือกหมวกนิรภัยไม่ใช่แค่เลือกสีหรือรูปทรงให้ดูดี แต่ต้องใส่ใจถึงมาตรฐานหมวกนิรภัยที่ผ่านการรับรอง เพราะนี่คือด่านแรกที่จะช่วยปกป้องชีวิตของทุกคนในสถานที่เสี่ยงอันตรายต่าง ๆ

 

หากคุณกำลังมองหาหมวกนิรภัยนำเข้าคุณภาพสูงที่ผ่านการรับรองจากสถาบันชั้นนำทั่วโลก เช่น EN 397:2012+A1:2012 และ ANSI/ISEA Z89.1-2014 ขอแนะนำ Esco Premium บริษัทขายหมวกเซฟตี้นำเข้าราคาส่ง คุณภาพสูง มาตรฐานสากล มีรุ่นให้เลือกมากมาย ครอบคลุมทุกประเภทการใช้งาน ทั้งในองค์กร โรงงาน หรือไซต์งานขนาดใหญ่

 

สอบถามเพิ่มเติมหรือติดต่อขอใบเสนอราคาได้ที่
Line : @escopremium
Tel : 02-509-0099
E-mail : escopremium@escopremium.com

 

แหล่งอ้างอิง

  1. การจำแนกประเภทของหมวกเซฟตี้โดยละเอียดตามมาตรฐาน ANSI/ISEA Z89.1. สืบค้นเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 จาก https://worldmachinerystore.com/types-of-safety-helmets/
  2. รู้จัก มอก. สืบค้นเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 จาก https://tgcthailand.com/blog/how-many-types-of-tisi-product-certification-marks/

Share this article

  • Line
  • Facebook
  • Email
  • Copy Link