การทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม งานก่อสร้าง หรือแม้แต่ในสถานพยาบาล ล้วนต้องเผชิญกับอันตรายทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นแรงกระแทก วัตถุแหลมคม ฝุ่นละอองที่มาพร้อมสารเคมี หรืออุบัติเหตุจากเครื่องจักร อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล หรือ PPE (Personal Protective Equipment) จึงเปรียบเสมือนเกราะด่านแรกที่ช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุและการสัมผัสสารอันตราย
การรู้ว่าอุปกรณ์ PPE มีอะไรบ้าง และเลือกใช้อย่างเหมาะสมกับลักษณะงาน คือกุญแจสำคัญในการทำงานอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพราะในเรื่องความปลอดภัย “รู้ก่อน ปลอดภัยก่อน” คือหลักที่ทุกคนควรยึดถือ
อุปกรณ์ PPE คืออะไร ? ทำไมทุกคนควรรู้จัก
PPE ย่อมาจาก Personal Protective Equipment คือ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ซึ่งครอบคลุมอุปกรณ์หรือเสื้อผ้าที่ใช้เพื่อปกป้องร่างกายจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติงานหรืออยู่ในพื้นที่เสี่ยง
แม้ว่าตามหลักการสากลของ Hierarchy of Controls PPE จะถูกจัดอยู่ในลำดับสุดท้ายของมาตรการควบคุมความเสี่ยง แต่ก็ยังถือเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญที่สุดในการลดความรุนแรงของอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
ตัวอย่างอุปกรณ์ PPE ที่ใช้กันทั่วไปมีอะไรบ้าง ?
- หมวกนิรภัย (Safety Helmet)
- แว่นตานิรภัย (Safety Goggles)
- รองเท้าเซฟตี้ (Safety Shoes)
- ถุงมือกันบาด (Cut-resistant Gloves)
- ถุงมือ PU
- เสื้อสะท้อนแสง (Reflective Vest)
- ชุดป้องกันสารเคมี (Chemical Resistant Suit)
- หน้ากากกรองอากาศ (Respirator)
ทำไมทุกคนควรรู้จักอุปกรณ์ PPE ?
- ช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและเสียชีวิต : การสวมใส่อุปกรณ์ที่เหมาะสมจะช่วยลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ เช่น หมวกนิรภัยช่วยป้องกันศีรษะจากวัตถุตกหล่น แว่นตานิรภัยป้องกันเศษวัสดุกระเด็นเข้าตา
- สอดคล้องกับกฎหมายด้านความปลอดภัยแรงงาน : นายจ้างต้องจัดหาอุปกรณ์ Safety ที่เหมาะสมกับงานเพื่อความปลอดภัยของพนักงาน
- สร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ปลอดภัยในองค์กร : เมื่อทุกคนใส่ใจการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ตระหนักถึงความปลอดภัยร่วมกัน
- ใช้ได้ทั้งในที่ทำงานและชีวิตประจำวัน : อุปกรณ์บางอย่าง เช่น ถุงมือ หรือหน้ากากกันฝุ่น สามารถใช้ในงานซ่อมแซมบ้าน หรือทำความสะอาดได้
ประเภทของอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE)
เพื่อให้เข้าใจว่าอุปกรณ์ PPE มีอะไรบ้าง เราสามารถแบ่งประเภทของอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดังนี้
- อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ : ช่วยป้องกันศีรษะจากการกระแทก วัตถุตกหล่น หรือไฟฟ้า เช่น หมวกนิรภัย (Safety Helmet) ที่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับประเภทของงาน
- อุปกรณ์ป้องกันดวงตาและใบหน้า : ช่วยปกป้องดวงตาและใบหน้าจากเศษวัสดุ สารเคมี หรือแสงจ้า เช่น แว่นตานิรภัย (Safety Goggles), กระบังหน้า (Face Shield) หรือแว่นตาเชื่อม (Welding Goggles)
- อุปกรณ์ป้องกันการได้ยิน : ลดผลกระทบจากเสียงที่ดังเกินมาตรฐาน เช่น ที่ครอบหู (Earmuffs) หรือปลั๊กอุดหู (Earplugs)
- อุปกรณ์ป้องกันทางเดินหายใจ : ช่วยป้องกันการสูดดมฝุ่นละออง ควัน ไอระเหย หรือสารเคมี เช่น หน้ากากอนามัย (Surgical Mask), หน้ากากกรองฝุ่น (Dust Mask) หรือหน้ากากกรองสารเคมี (Respirator)
- อุปกรณ์ป้องกันมือและแขน : ช่วยปกป้องมือจากสารเคมี ความร้อน ความเย็น การบาด หรือการถูกหนีบ เช่น ถุงมือกันบาด (Cut-resistant Gloves) สำหรับงานที่ต้องสัมผัสของมีคม หรือถุงมือ PU ที่ให้ความคล่องตัว
- อุปกรณ์ป้องกันลำตัวและลำตัวส่วนล่าง : ช่วยป้องกันร่างกายจากความร้อน สารเคมี หรือสะเก็ดไฟ เช่น เสื้อสะท้อนแสง (Reflective Vest), ชุดกันสารเคมี (Chemical Resistant Suit) หรือเอี๊ยมกันไฟ
- อุปกรณ์ป้องกันเท้า : ช่วยป้องกันเท้าจากการถูกของหล่นทับ การทิ่มตำ หรือสารเคมี เช่น รองเท้าเซฟตี้ (Safety Shoes) ที่มีหัวเหล็กหรือแผ่นกันทะลุ
- อุปกรณ์ป้องกันการตกจากที่สูง: สำหรับงานที่ต้องปฏิบัติในที่สูง เช่น ชุดกันตก (Full Body Harness) หรือเชือกนิรภัย (Safety Lanyard)