ในงานก่อสร้างและการทำงานภายในโรงงานอุตสาหกรรม ของมีคมเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถก่อให้เกิดอุบัติเหตุและทำให้ได้รับบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว การสวมใส่ถุงมือกันบาดจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยปกป้องมือจากความเสียหายและเพิ่มความมั่นใจขณะปฏิบัติงาน
ความหมายและคุณสมบัติของถุงมือกันบาด
ถุงมือกันบาด คืออุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากวัตถุมีคม เช่น มีด เครื่องมือตัด แก้วที่แตก หรือโลหะที่มีขอบคม ถุงมือเหล่านี้ทำงานโดยการใช้เส้นใยพิเศษที่มีความแข็งแรงสูง สามารถต้านทานแรงที่เกิดจากการตัดหรือการขูดขีดได้
วัสดุที่ใช้ในการผลิตถุงมือกันบาดมักประกอบด้วยเส้นใยสังเคราะห์ประสิทธิภาพสูง เช่น HPPE (High Performance Polyethylene), Dyneema หรือ Kevlar ที่มีความแข็งแรงต่อน้ำหนักมากกว่าเหล็กกล้าหลายเท่า ทำให้สามารถกระจายแรงกระแทกและลดความเสี่ยงในการเกิดแผลบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของถุงมือกันบาดในสถานประกอบการ
ความสำคัญของถุงมือกันบาดนั้นเห็นได้ชัดเจนเมื่อพิจารณาผลกระทบจากการที่ไม่ได้ใช้ เพราะการบาดเจ็บจากของมีคมไม่เพียงทำให้เกิดแผลและเลือดออกเท่านั้น แต่อาจนำไปสู่การติดเชื้อ การสูญเสียการใช้งานของมือชั่วคราวหรือถาวร ทั้งยังส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล นอกจากนี้ยังมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและขวัญกำลังใจของพนักงานอีกด้วย
ข้อดีของการใช้ถุงมือกันบาด คือช่วยส่งเสริมด้านความปลอดภัยในโรงงานและไซต์งานก่อสร้าง ที่สามารถลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุ ลดระยะเวลาหยุดงานจากการบาดเจ็บ ทั้งยังสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น นำไปสู่ประสิทธิภาพในด้านการผลิตและลดต้นทุนจากการสูญเสียในระยะยาวได้
มาตรฐานและการทดสอบถุงมือกันบาด
ความต้านทานต่อการตัด (Cut Resistance) – หัวใจสำคัญของถุงมือกันบาด
Cut Resistance หรือความต้านทานต่อการตัด เป็นคุณสมบัติหลักที่แสดงถึงความสามารถในการป้องกันการบาดเจ็บจากวัตถุมีคม ความสำคัญของถุงมือกันบาดอยู่ที่การลดแรงที่ถ่ายทอดไปยังผิวหนัง ทำให้การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงน้อยลงหรือไม่เกิดขึ้นเลย
การเข้าใจเรื่อง Cut Resistance จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการเลือกถุงมือกันบาดที่เหมาะสมกับงานแต่ละประเภท
วิธีการทดสอบความต้านทานต่อการตัด
วิธีการทดสอบมีสองแบบหลัก ซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่นและการใช้งานที่แตกต่างกัน คือ
Coupe Test (การทดสอบด้วยใบมีดหมุน)
- ใช้ใบมีดหมุนเคลื่อนที่ไปมาบนพื้นผิวตัวอย่างถุงมือ
- เหมาะสำหรับวัสดุทั่วไป
- วัดจำนวนรอบที่ใบมีดต้องหมุนจนกว่าจะตัดผ่านวัสดุได้
ISO Cut Test หรือ TDM Test (การทดสอบด้วยใบมีดตรง)
- ใช้ใบมีดตรงพร้อมน้ำหนักกดลงบนตัวอย่างถุงมือเพียงครั้งเดียว
- เหมาะสำหรับวัสดุที่มีความต้านทานสูงมาก (เช่น เส้นใยแก้วหรือเหล็ก)
- วัดแรงกดที่จำเป็นในการตัดผ่านวัสดุในระยะทาง 20 มิลลิเมตร
มาตรฐาน EN388:2016
มาตรฐานความต้านทานต่อการตัดอิงตามมาตรฐาน EN388:2016 ซึ่งเป็นมาตรฐานยุโรปที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ครอบคลุมการทดสอบความต้านทานต่อการขัดสี การตัด การฉีก การเจาะ และการกระแทก
วิธีอ่านผลทดสอบ EN388:2016
การอ่านผลทดสอบจะแสดงเป็นตัวเลข 4 หลัก เช่น 4543 ซึ่งแต่ละหลักจะแทนความหมายของการต้านทานแต่ละแบบ ดังนี้
- หลักที่ 1: ความต้านทานต่อการขัดสี (0-4)
- หลักที่ 2: ความต้านทานต่อการตัด (1-5)
- หลักที่ 3: ความต้านทานต่อการฉีก (0-4)
- หลักที่ 4: ความต้านทานต่อการเจาะ (0-4)
หากมีตัวอักษรเพิ่มเติม เช่น 4543F จะแสดงถึงระดับการป้องกันจากการทดสอบใบมีดตรง (ISO 13997 test หรือ TDM test)
ตัวอย่างการอ่าน: ถุงมือมาตรฐาน 4543E
- ความต้านทานต่อการขัดสี = 4 (ดีมาก)
- ความต้านทานต่อการตัด = 5 (สูงสุด)
- ความต้านทานต่อการฉีก = 4 (ดีมาก)
- ความต้านทานต่อการเจาะ = 3 (ดี)
- การป้องกันใบมีดตรง = E (ค่อนข้างสูง)
ระดับการป้องกันและการแปลผล
หากต้องการพิจารณาว่า ถุงมือกันบาดมีกี่ระดับ ตามมาตรฐาน EN388 จะแบ่งได้ดังนี้
สำหรับ Coupe Test (ใบมีดหมุน)
- ระดับ 1: การป้องกันขั้นพื้นฐาน
- ระดับ 2-3: การป้องกันระดับปานกลาง
- ระดับ 4-5: การป้องกันระดับสูง
สำหรับ ISO Cut Test (ใบมีดตรง)
- ระดับ A-B: การป้องกันขั้นพื้นฐาน
- ระดับ C-D: การป้องกันระดับปานกลาง
- ระดับ E-F: การป้องกันระดับสูงสุด
เปรียบเทียบกับมาตรฐาน ANSI/ISEA 105-2016
แม้ในตลาดไทยจะพบมาตรฐาน EN388 เป็นหลัก แต่ยังมีมาตรฐาน ANSI/ISEA 105-2016 ซึ่งเป็นมาตรฐานอเมริกัน ที่บางครั้งอาจพบได้ในผลิตภัณฑ์นำเข้า
สำหรับรายละเอียดของมาตรฐาน ANSI/ISEA 105-2016 คือจะแบ่งระดับการป้องกันเป็น A1 ถึง A9 โดยใช้เครื่องทดสอบ TDM-100 (Tomodynamometer) ที่วัดแรงกด (Gram Force) ระดับ A1 ให้การป้องกันน้อยที่สุด (200-499 กรัม) และ A9 ให้การป้องกันสูงสุด (6000+ กรัม)
วิธีการเลือกใช้ถุงมือกันบาดที่เหมาะสมตามความเสี่ยงของงาน
วิธีการเลือกใช้ถุงมือกันบาดควรพิจารณาจากการประเมินความเสี่ยงในสถานที่ทำงานและลักษณะงาน เช่น
งานความเสี่ยงสูง (ระดับการป้องกัน 4-5 หรือ D-F)
- การใช้เครื่องมือตัดคมชนิดต่าง ๆ
- การจัดการแผ่นโลหะที่มีขอบคม
- การทำงานกับแก้วหรือเซรามิก
งานความเสี่ยงปานกลาง (ระดับการป้องกัน 2-3 หรือ B-C)
- การจัดการกล่องกระดาษหรือพลาสติก
- การทำงานในโรงงานผลิตทั่วไป
- การจัดเก็บวัสดุก่อสร้าง
งานความเสี่ยงต่ำ (ระดับการป้องกัน 1-2 หรือ A-B)
- การทำงานทั่วไปที่มีความเสี่ยงจากวัตถุมีคมเล็กน้อย
- การทำความสะอาดหรือจัดเก็บ
โครงสร้างและวัสดุที่ใช้ในการผลิตถุงมือกันบาด
ถุงมือกันบาดประกอบด้วยส่วนสำคัญสองส่วนหลัก คือ เส้นใย Liner ที่ให้ความสามารถในการกันบาด และ Coating ที่เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน
เส้นใย Liner – แกนหลักของการป้องกัน
Liner หรือเส้นใยภายใน เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญที่กำหนดระดับการกันบาดของถุงมือ การเลือกวัสดุ Liner ที่เหมาะสมจะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการป้องกัน ซึ่งในปัจจุบันวัสดุ Liner ที่นิยมใช้ ได้แก่
- HPPE (High Performance Polyethylene) – น้ำหนักเบา แข็งแรงสูง ราคาประหยัด เหมาะสำหรับงานทั่วไป
- Dyneema – ทนทานต่อการสึกหรอสูงพิเศษ เหมาะสำหรับงานหนักและใช้งานต่อเนื่อง
- Kevlar – ต้านทานความร้อนได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับงานที่มีอุณหภูมิสูง
การเคลือบ (Coating) – เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน
การเคลือบไม่กระทบต่อความสามารถในการกันบาด แต่จะเพิ่มคุณสมบัติพิเศษให้กับถุงมือ ทำให้ถุงมือแต่ละแบบเหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น
- Nitrile Coating – ป้องกันน้ำมันและสารเคมี เหมาะสำหรับงานอุตสาหกรรม
- PU Coating – ช่วยให้การจับทำได้อย่างดีเยี่ยม เหมาะสำหรับงานประกอบละเอียด
- No Coating – ระบายอากาศดี เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแห้ง