KNOWLEDGE

วิธีเลือกถุงมือกันบาด: มาตรฐาน วัสดุ ระดับป้องกัน

ก.ย. 18, 2025

มาตรฐานความต้านทานต่อการตัดคือปัจจัยสำคัญในการเลือกถุงมือกันบาด

ในงานก่อสร้างและการทำงานภายในโรงงานอุตสาหกรรม ของมีคมเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถก่อให้เกิดอุบัติเหตุและทำให้ได้รับบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว การสวมใส่ถุงมือกันบาดจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยปกป้องมือจากความเสียหายและเพิ่มความมั่นใจขณะปฏิบัติงาน

 

ความหมายและคุณสมบัติของถุงมือกันบาด

 

ถุงมือกันบาด คืออุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากวัตถุมีคม เช่น มีด เครื่องมือตัด แก้วที่แตก หรือโลหะที่มีขอบคม ถุงมือเหล่านี้ทำงานโดยการใช้เส้นใยพิเศษที่มีความแข็งแรงสูง สามารถต้านทานแรงที่เกิดจากการตัดหรือการขูดขีดได้
วัสดุที่ใช้ในการผลิตถุงมือกันบาดมักประกอบด้วยเส้นใยสังเคราะห์ประสิทธิภาพสูง เช่น HPPE (High Performance Polyethylene), Dyneema หรือ Kevlar ที่มีความแข็งแรงต่อน้ำหนักมากกว่าเหล็กกล้าหลายเท่า ทำให้สามารถกระจายแรงกระแทกและลดความเสี่ยงในการเกิดแผลบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ความสำคัญของถุงมือกันบาดในสถานประกอบการ

 

ความสำคัญของถุงมือกันบาดนั้นเห็นได้ชัดเจนเมื่อพิจารณาผลกระทบจากการที่ไม่ได้ใช้ เพราะการบาดเจ็บจากของมีคมไม่เพียงทำให้เกิดแผลและเลือดออกเท่านั้น แต่อาจนำไปสู่การติดเชื้อ การสูญเสียการใช้งานของมือชั่วคราวหรือถาวร ทั้งยังส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล นอกจากนี้ยังมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและขวัญกำลังใจของพนักงานอีกด้วย

 

ข้อดีของการใช้ถุงมือกันบาด คือช่วยส่งเสริมด้านความปลอดภัยในโรงงานและไซต์งานก่อสร้าง ที่สามารถลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุ ลดระยะเวลาหยุดงานจากการบาดเจ็บ ทั้งยังสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น นำไปสู่ประสิทธิภาพในด้านการผลิตและลดต้นทุนจากการสูญเสียในระยะยาวได้

 

มาตรฐานและการทดสอบถุงมือกันบาด

 

ความต้านทานต่อการตัด (Cut Resistance) – หัวใจสำคัญของถุงมือกันบาด

 

Cut Resistance หรือความต้านทานต่อการตัด เป็นคุณสมบัติหลักที่แสดงถึงความสามารถในการป้องกันการบาดเจ็บจากวัตถุมีคม ความสำคัญของถุงมือกันบาดอยู่ที่การลดแรงที่ถ่ายทอดไปยังผิวหนัง ทำให้การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงน้อยลงหรือไม่เกิดขึ้นเลย
การเข้าใจเรื่อง Cut Resistance จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการเลือกถุงมือกันบาดที่เหมาะสมกับงานแต่ละประเภท

 

วิธีการทดสอบความต้านทานต่อการตัด

 

วิธีการทดสอบมีสองแบบหลัก ซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่นและการใช้งานที่แตกต่างกัน คือ

 

Coupe Test (การทดสอบด้วยใบมีดหมุน)

 

  • ใช้ใบมีดหมุนเคลื่อนที่ไปมาบนพื้นผิวตัวอย่างถุงมือ
  • เหมาะสำหรับวัสดุทั่วไป
  • วัดจำนวนรอบที่ใบมีดต้องหมุนจนกว่าจะตัดผ่านวัสดุได้

 

ISO Cut Test หรือ TDM Test (การทดสอบด้วยใบมีดตรง)

 

  • ใช้ใบมีดตรงพร้อมน้ำหนักกดลงบนตัวอย่างถุงมือเพียงครั้งเดียว
  • เหมาะสำหรับวัสดุที่มีความต้านทานสูงมาก (เช่น เส้นใยแก้วหรือเหล็ก)
  • วัดแรงกดที่จำเป็นในการตัดผ่านวัสดุในระยะทาง 20 มิลลิเมตร

 

มาตรฐาน EN388:2016

 

มาตรฐานความต้านทานต่อการตัดอิงตามมาตรฐาน EN388:2016 ซึ่งเป็นมาตรฐานยุโรปที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ครอบคลุมการทดสอบความต้านทานต่อการขัดสี การตัด การฉีก การเจาะ และการกระแทก

 

วิธีอ่านผลทดสอบ EN388:2016

 

การอ่านผลทดสอบจะแสดงเป็นตัวเลข 4 หลัก เช่น 4543 ซึ่งแต่ละหลักจะแทนความหมายของการต้านทานแต่ละแบบ ดังนี้

 

  • หลักที่ 1: ความต้านทานต่อการขัดสี (0-4)
  • หลักที่ 2: ความต้านทานต่อการตัด (1-5)
  • หลักที่ 3: ความต้านทานต่อการฉีก (0-4)
  • หลักที่ 4: ความต้านทานต่อการเจาะ (0-4)

 

หากมีตัวอักษรเพิ่มเติม เช่น 4543F จะแสดงถึงระดับการป้องกันจากการทดสอบใบมีดตรง (ISO 13997 test หรือ TDM test)

 

ตัวอย่างการอ่าน: ถุงมือมาตรฐาน 4543E

 

  • ความต้านทานต่อการขัดสี = 4 (ดีมาก)
  • ความต้านทานต่อการตัด = 5 (สูงสุด)
  • ความต้านทานต่อการฉีก = 4 (ดีมาก)
  • ความต้านทานต่อการเจาะ = 3 (ดี)
  • การป้องกันใบมีดตรง = E (ค่อนข้างสูง)

 

ระดับการป้องกันและการแปลผล

 

หากต้องการพิจารณาว่า ถุงมือกันบาดมีกี่ระดับ ตามมาตรฐาน EN388 จะแบ่งได้ดังนี้

 

สำหรับ Coupe Test (ใบมีดหมุน)

 

  • ระดับ 1: การป้องกันขั้นพื้นฐาน
  • ระดับ 2-3: การป้องกันระดับปานกลาง
  • ระดับ 4-5: การป้องกันระดับสูง

 

สำหรับ ISO Cut Test (ใบมีดตรง)

 

  • ระดับ A-B: การป้องกันขั้นพื้นฐาน
  • ระดับ C-D: การป้องกันระดับปานกลาง
  • ระดับ E-F: การป้องกันระดับสูงสุด

 

เปรียบเทียบกับมาตรฐาน ANSI/ISEA 105-2016

 

แม้ในตลาดไทยจะพบมาตรฐาน EN388 เป็นหลัก แต่ยังมีมาตรฐาน ANSI/ISEA 105-2016 ซึ่งเป็นมาตรฐานอเมริกัน ที่บางครั้งอาจพบได้ในผลิตภัณฑ์นำเข้า

 

สำหรับรายละเอียดของมาตรฐาน ANSI/ISEA 105-2016 คือจะแบ่งระดับการป้องกันเป็น A1 ถึง A9 โดยใช้เครื่องทดสอบ TDM-100 (Tomodynamometer) ที่วัดแรงกด (Gram Force) ระดับ A1 ให้การป้องกันน้อยที่สุด (200-499 กรัม) และ A9 ให้การป้องกันสูงสุด (6000+ กรัม)

 

วิธีการเลือกใช้ถุงมือกันบาดที่เหมาะสมตามความเสี่ยงของงาน

 

วิธีการเลือกใช้ถุงมือกันบาดควรพิจารณาจากการประเมินความเสี่ยงในสถานที่ทำงานและลักษณะงาน เช่น

 

งานความเสี่ยงสูง (ระดับการป้องกัน 4-5 หรือ D-F)

 

  • การใช้เครื่องมือตัดคมชนิดต่าง ๆ
  • การจัดการแผ่นโลหะที่มีขอบคม
  • การทำงานกับแก้วหรือเซรามิก

 

งานความเสี่ยงปานกลาง (ระดับการป้องกัน 2-3 หรือ B-C)

 

  • การจัดการกล่องกระดาษหรือพลาสติก
  • การทำงานในโรงงานผลิตทั่วไป
  • การจัดเก็บวัสดุก่อสร้าง

 

งานความเสี่ยงต่ำ (ระดับการป้องกัน 1-2 หรือ A-B)

 

  • การทำงานทั่วไปที่มีความเสี่ยงจากวัตถุมีคมเล็กน้อย
  • การทำความสะอาดหรือจัดเก็บ

 

โครงสร้างและวัสดุที่ใช้ในการผลิตถุงมือกันบาด

 

ถุงมือกันบาดประกอบด้วยส่วนสำคัญสองส่วนหลัก คือ เส้นใย Liner ที่ให้ความสามารถในการกันบาด และ Coating ที่เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน

 

เส้นใย Liner – แกนหลักของการป้องกัน

 

Liner หรือเส้นใยภายใน เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญที่กำหนดระดับการกันบาดของถุงมือ การเลือกวัสดุ Liner ที่เหมาะสมจะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการป้องกัน ซึ่งในปัจจุบันวัสดุ Liner ที่นิยมใช้ ได้แก่

 

  • HPPE (High Performance Polyethylene) – น้ำหนักเบา แข็งแรงสูง ราคาประหยัด เหมาะสำหรับงานทั่วไป
  • Dyneema – ทนทานต่อการสึกหรอสูงพิเศษ เหมาะสำหรับงานหนักและใช้งานต่อเนื่อง
  • Kevlar – ต้านทานความร้อนได้ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับงานที่มีอุณหภูมิสูง

 

การเคลือบ (Coating) – เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน

 

การเคลือบไม่กระทบต่อความสามารถในการกันบาด แต่จะเพิ่มคุณสมบัติพิเศษให้กับถุงมือ ทำให้ถุงมือแต่ละแบบเหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น

 

  • Nitrile Coating – ป้องกันน้ำมันและสารเคมี เหมาะสำหรับงานอุตสาหกรรม
  • PU Coating – ช่วยให้การจับทำได้อย่างดีเยี่ยม เหมาะสำหรับงานประกอบละเอียด
  • No Coating – ระบายอากาศดี เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแห้ง

 

ความสำคัญของถุงมือกันบาดคือเสริมความปลอดภัยในการทำงาน

 

สรุปวิธีการเลือกใช้ถุงมือกันบาดที่เหมาะสมกับการทำงาน

 

การเลือกถุงมือกันบาดที่ถูกต้อง ควรพิจารณาจากหลายปัจจัยร่วมกัน เพื่อให้ได้ถุงมือที่สมดุลระหว่างการป้องกัน ความสะดวกสบาย และประสิทธิภาพการทำงาน

 

ขั้นตอนการประเมินและเลือกใช้

 

1. ประเมินความเสี่ยงในสถานที่ทำงาน

 

  • ประเภทของวัตถุมีคมที่พบในการทำงาน
  • ความถี่ในการสัมผัสกับความเสี่ยง
  • ระดับความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น

 

2. เลือกระดับการป้องกัน วิธีการเลือกใช้ถุงมือกันบาดตามความเสี่ยง

 

  • ความเสี่ยงสูง → ระดับ 4-5 หรือ D-F
  • ความเสี่ยงปานกลาง → ระดับ 2-3 หรือ B-C
  • ความเสี่ยงต่ำ → ระดับ 1-2 หรือ A-B

 

3. เลือกวัสดุและการเคลือบ

 

  • สภาพแวดล้อมร้อน → Kevlar Liner
  • งานหนักต่อเนื่อง → Dyneema Liner
  • งานทั่วไป → HPPE Liner
  • สัมผัสสารเคมี → Nitrile Coating
  • งานละเอียด → PU Coating
  • งานแห้ง → No Coating

 

การพิจารณาทั้งระดับการกันบาด วัสดุ Liner และประเภทการเคลือบร่วมกันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยต้องมีความสมดุลระหว่างการป้องกันที่เพียงพอ ความสะดวกสบายในการใช้งาน และความคุ้มค่าในการลงทุน

 

ซื้อถุงมือกันบาดที่ได้มาตรฐาน ในราคาเข้าถึงได้ เลือกซื้อกับ Esco Premium

 

อุบัติเหตุจากของมีคมสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา การเลือกใช้ถุงมือกันบาดคุณภาพสูงตามมาตรฐาน ANSI/ISEA 105-2016 เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกสถานประกอบการที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุด Esco Premium มีถุงมือกันบาดราคาที่คุณเข้าถึงได้ให้เลือกหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นถุงมือกันบาด Cut C หรือ Cut E เหมาะสำหรับงานก่อสร้าง โรงงาน และอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการความทนทานและป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ สอบถามเพิ่มเติมหรือติดต่อขอใบเสนอราคาได้ที่ Esco Premium

 

สอบถามเพิ่มเติมหรือติดต่อขอใบเสนอราคาได้ที่

 

Line : @escopremium

Tel : 02-509-0099

E-mail : escopremium@escopremium.com

 

แหล่งอ้างอิง

  • มาตรฐานถุงมือกันบาดใหม่ ANSI และ EN388: 2016. สืบค้นเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 จาก https://thai-safetywiki.com/glove-cut-standard/

Share this article

  • Line
  • Facebook
  • Email
  • Copy Link